สำหรับคนยุคนี้ การมีรายได้จากเงินเดือนประจำ (Active Income) เพียงอย่างเดียว หรือหวังรายได้จากเงินในบัญชีออมทรัพย์ ที่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 0.57% ต่อปี คงจะไม่ใช่แนวคิดที่ดีอีกต่อไป โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการความมั่นคงทางการเงิน และมีเป้าหมายที่การมีอิสระทางการเงินในอนาคต... การหารายได้เพิ่มแบบที่ไม่ต้องเพิ่มเวลาทำงาน แต่เป็นการใช้เงินมาลงทุนทำงานแทน อย่างที่เรียกกันว่า Passive Income จึงกลายมาเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งการลงทุนแบบ Passive Income มีอยู่ 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
เช่น หุ้น กองทุนรวม กองทุนรวมตราสารหนี้ ทองคำ Crypto currency ฯลฯ ซึ่งการลงทุนประเภทนี้ มีทั้งแบบที่มีผลตอบแทนและความเสี่ยงต่ำ กับที่มีความเสี่ยงสูง และผลตอบแทนสูง แต่ที่เหมือนกันคือ นักลงทุนต้องมีความเข้าใจในเรื่องการลงทุนเป็นอย่างดี ทั้งต้องใช้เวลาในการติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหว และกราฟที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะถ้าเลือกลงทุนกับหุ้น และจะต้องเตรียมใจไว้รับมือกับราคาหุ้นที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลา
เช่น กระเป๋าแบรนด์เนม หรือนาฬิการาคาแพง อย่าง Rolex ซึ่งนักลงทุนจะต้องมีความรู้ในของสะสมนั้นอย่างแท้จริง อีกทั้งความเสี่ยงและผลตอบแทนยังเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก เพราะเป็นเรื่องของความนิยมทางการตลาดในแต่ละช่วงเวลา
เช่น การลงทุนคอนโด ซึ่งมีรูปแบบทั้ง การเก็งกำไร ปล่อยเช่า และลงทุนระยะยาว โดยมีรายได้ที่เกิดจากค่าเช่าที่ผู้เช่าจ่ายให้ มีกำไรจากราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี ซึ่งปัจจุบันการซื้อคอนโดเป็นสินทรัพย์เพื่อลงทุน กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากด้วยเหตุผลหลัก ๆ คือ
1. เมื่อเทียบผลกำไรจากการลงทุนประเภทต่าง ๆ การลงทุนคอนโดให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คือ + 6.88% ขณะที่หุ้นสามัญทั่วไปอยู่ที่ +5.35%, ทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดิน +5.22%, บ้านเดี่ยวพร้อมที่ดิน +3.03%, ตราสารหนี้ +1.82%, ทองคำ -2.53%, บิทคอยน์ -16% และหากปล่อยเช่าก็จะมี Passive Income สม่ำเสมอ
2. เป็นการลงทุนโดยใช้เงินน้อย แถมยังเป็นเงินคนอื่น เพราะคนที่ลงทุนคอนโด มักจะกู้เงินจากธนาคารเป็นส่วนใหญ่ ใช้เงินส่วนตัวเพียงส่วนต่าง โดยอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือตัวเดียวที่ธนาคารจะให้เงินคุณมาลงทุนได้มากถึง 70-80 เท่าของเงินเดือน และเมื่อปล่อยเช่าได้ ก็จะใช้เงินค่าเช่า ในการผ่อนชำระกับธนาคาร ทำให้มีรายได้ทั้งจากค่าเช่าที่เป็นส่วนต่าง และยังได้สินทรัพย์ส่วนตัวในราคาถูก เมื่อเวลาผ่านไปแล้วต้องการขาย ยังสามารถทำกำไรจากราคาขายที่เพิ่มขึ้นได้อีกเป็นเท่าตัว
3. เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เวลาในการติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยจะใช้เวลาแค่ช่วงแรกที่จะซื้อคอนโดเป็นสินทรัพย์เพื่อลงทุนเท่านั้น เช่น มองหาคอนโดที่น่าสนใจ ยื่นกู้ ทำสัญญากับโครงการ ชำระเงินโอนกรรมสิทธิ์ ปล่อยเช่า แต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย คุณก็จะมีรายได้จากค่าเช่าโอนเข้ามาในบัญชีทุกเดือน แถมราคายังไม่ผันผวนให้ต้องลุ้นด้วย
4. การซื้อคอนโดเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ สามารถเก็บเป็นมรดกให้กับลูกหลาน ยิ่งเป็นคอนโดที่มีเอกลักษณ์ อย่าง คอนโดริมน้ำ คอนโดใกล้สวนสาธารณะ ซึ่งเป็นโครงการที่ยากจะเกิดขึ้นใหม่ ราคาในอนาคตก็จะยิ่งสูงมากขึ้น กลายเป็นมรดกชิ้นสำคัญ หรือถ้าเลือกทำเลดี เช่น ย่านสุขุมวิท-ทองหล่อ ที่ Rental Yield 5.1% มีอัตราการเติบโตที่ดินระยะ 5 ปีที่ 7.85%, ย่านสยาม-ราชเทวี Rental Yield 4.6% มีอัตราการเติบโตที่ดินระยะ 5 ปีที่ 8.74%, จตุจักร-ลาดพร้าว Rental Yield 4.4% มีอัตราการเติบโตที่ดินระยะ 5 ปีที่ 6.99% ก็เป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนในระยะยาวสูง เพราะนับวันสินทรัพย์นี้ก็จะยิ่งมีมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น
ถ้าคุณกำลังคิดจะซื้อคอนโดเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน Major Development มีโครงการที่เหมาะกับการลงทุนอยู่หลายแห่ง โดยแต่ละแห่งตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ ทั้งยังผ่านการวิเคราะห์มาให้เสร็จสรรพแล้วว่า คุ้มค่ากับการลงทุนคอนโดอย่างไร เช่น
มนุษย์เงินเดือน (Employee) คนไหนอยากเป็นนักลงทุน (Investor) และเป็นเจ้าของกิจการ (Business Owner) บริหารคอนโดให้เช่าของตัวเอง นอกเหนือจากการทำงานรับเงินเดือนตามปกติ แวะเข้าไปเรียนรู้กับทางโครงการได้เลย