คนญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่น การแช่ออนเซ็น ของชาวญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ก็เป็นวิถีการดูแลสุขภาพ ที่พูดถึงกันมากว่าดีกับทั้งกายและใจ นับเป็นการพักผ่อนร่างกายแบบองค์รวม ที่ได้ประโยชน์ครอบคลุมไปถึงเรื่องของความงามด้วย ทำให้ทุกวันนี้การแช่ออนเซ็น กลายเป็นสิ่งที่คนรักสุขภาพทั่วโลกให้ความสนใจ
ออนเซ็น เป็นน้ำพุร้อนที่มาจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ บางแหล่งจะพุ่งขึ้นสู่พื้นผิวดิน ขณะที่บางแหล่งมาจากชั้นใต้ดินลึกกว่า 1,000 เมตร โดยจะมีอุณหภูมิความร้อนที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ออนเซ็น ชนิดร้อนจะมีอุณหภูมิเกือบถึง 100 องศาเซลเซียส (211 F) ส่วน ออนเซ็น ชนิดเย็น จะอยู่ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส (68 F) ซึ่งไม่ว่าจะมีอุณหภูมิระดับไหน ก็ล้วนแต่เป็นแหล่งสะสมของแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บแต่ถ้าจะให้เกิดประโยชน์แบบตรงจุด คุณสามารถเลือกแช่ในบ่อต่าง ๆ ได้มากถึง 10 ประเภทด้วยกัน
1. ออนเซ็นกัมมะถัน (Sulphur Hot Spring) เป็นออนเซ็นที่มีมากที่สุดในญี่ปุ่น จุดสังเกตคือกลิ่นฉุนเหมือนไข่เน่า มีคุณสมบัติช่วยทำให้ผิวนุ่ม ช่วยบรรเทาอาการผิวหนังที่มีผดผื่นคัน ช่วยรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ ทั้งยังรักษาโรคเบาหวาน, โรคหลอดลมอักเสบ, โรคความดันโลหิตสูง
2. ออนเซ็นแบบไร้สีไร้กลิ่น (Colorless,Odorless Hot Spring) บอกกันว่าเหมาะกับมือใหม่ที่หัดแช่ออนเซ็น และต้องการพักผ่อน ร่างกายแบบสบาย ๆ คลายเครียด เนื่องจากน้ำแร่มีความอ่อนโยนต่อผิว ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังและระบบประสาทต่าง ๆ
3. ออนเซ็นโซดา (Alkaline Soda Hot Spring) นิยมเรียกกันว่าออนเซ็นแห่งความงาม เพราะโซดาจะช่วยขจัดไขมันส่วนเกินออกจากผิว ทำให้ผิวเรียบเนียน ตัวน้ำแร่จะช่วยเคลือบผิวเก็บกักความชุ่มชื้น และทำให้รูขุมขนกระชับ
4. ออนเซ็นไฮโดรเจนคาร์บอเนต (Hydrogen Carbonate Hot Spring) แหล่งน้ำแร่ที่เป็นต้นน้ำมีความร้อนสูงถึง 98 องศา มีคุณสมบัติช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว ลดความดันโลหิต ทั้งยังช่วยปรับอุณหภูมิความสมดุลของร่างกาย
5. ออนเซ็นธาตุเหล็ก (Iron Hot Spring) สีออนเซ็นจะออกเป็นสีสนิม เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคโลหิตจาง ประจำเดือนมาไม่ปกติ
6. ออนเซ็นคลอไรด์ (Chloride Hot Spring) มีคุณสมบัติช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น เหมาะสำหรับคนที่มือเท้าเย็นบ่อย ๆ และคนที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับอวัยวะภายในสตรี เช่น มดลูกเย็น
7. ออนเซ็นกรด (Acidic Hot Spring) ช่วยกระตุ้นการต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยรักษาบาดแผลได้ และช่วยรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น โรคน้ำกัดเท้า, โรคผิวหนังอักเสบ
8. ออนเซ็นซัลเฟต (Sulfate Hot Spring) มีคุณสมบัติช่วยรักษาบาดแผล และรอยพกช้ำ ช่วยบรรเทาแผลไฟไหม้, โรคผิวหนังเรื้อรัง, ท้องผูก, โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดแดงแข็ง นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้นด้วย
9. ออนเซ็นเรเดียม (Radium Hot Spring) ธาตุเรเดียมมีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต ช่วยให้ร่างกายผลิตกรดยูริคอย่างพอเหมาะ จึงเหมาะกับคนที่เป็นโรคเกาต์, โรคไขข้อ, โรคระบบทางเดินอาหาร, โรคความดันโลหิตสูง
10. ออนเซ็นกรดบอริก (Boric Acid Springs) กรดบอริกมีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรีย ทางการแพทย์จึงนำมาเป็นส่วนประกอบของยาหยอดตาและน้ำยาล้างตา เหมาะกับคนที่มีปัญหาโรคทางสายตา ทั้งยังอ้างว่ามีผลทำให้ผิวขาวขึ้นได้ด้วย
เมื่อทราบประโยชน์ที่แตกต่างกันของแต่ละออนเซ็นแล้ว เพื่อให้การแช่ออนเซ็น มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
- ล้างตัวให้สะอาดก่อนลงแช่
- ค่อย ๆ ให้ร่างกายปรับอุณหภูมิด้วยการราดน้ำร้อนจากบริเวณไกลหัวใจก่อน คือจากเท้าไปหาเอว สู่ปลายนิ้วมือ
- ลงแช่เพียงครึ่งตัว หลังจากผ่านไปประมาณ 3 นาที ค่อยแช่ลึกไปถึงระดับไหล่ แล้วขึ้นมาพักนอกบ่อ 3 นาที ทำสลับกัน 3 ครั้ง
- ระวังอย่าแช่นานเกินไป
- หลังขึ้นจากออนเซ็นแล้วไม่ควรอาบน้ำ เพื่อป้องกันการล้างแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อผิวและร่างกายออก
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ เพราะตอนแช่ออนเซ็นเราเสียเหงื่อไปมาก
ใครที่ได้แช่ออนเซ็น สักครั้งจะติดใจ เนื่องจากหลังแช่จะรู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ ดังนั้นการมีออนเซ็นเป็นส่วนตัวจึงเป็นความปรารถนาของใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะกับคุณผู้หญิง กระซิบบอกว่าความปรารถนานี้เป็นจริงได้ไม่ยาก เพราะมีโครงการจากเครือ Major Development คือ Maestro 39 ที่มองเห็นความดีงามของวิถีชีวิตแบบชาวญี่ปุ่น จนนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการดีไซน์โครงการ ภายใต้แนวคิดที่อยากใช้ทุกพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตั้งแต่ที่แขวนร่ม และกุญแจหน้า ไปจนถึงทุกรายละเอียดในห้อง ที่สำคัญมีการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการพักผ่อนที่สงบ เรียบง่ายในสไตล์ญี่ปุ่นไว้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะ ออนเซ็น, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องอ่านหนังสือ, ห้องซาวน่า, ห้องสตรีม ฯลฯ เรียกว่าใครที่อยากมีไลฟ์สไตล์ลักชัวรี่แบบวิถีชาวญี่ปุ่น สามารถเป็นจริงได้ที่นี่